ป้ายกำกับ

Samsung Galaxy Tab A7 Lite ทั้งเรียน ทั้งบันเทิง เต็มตาในราคา 5,990 บาท

 ดูซีรีส์ – เล่นเกม – เรียนออนไลน์ ตอบโจทย์การใช้งานของทุกคนในบ้านให้แฮปปี้ ด้วย Samsung Galaxy Tab A7 Lite แท็บเล็ตน้องเล็กสเปคครบ




ปฎิเสธไม่ได้ว่าแท็บเล็ตเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะใช้งานได้หลากหลาย ทั้งทำงานและเอนเตอร์เทน รวมถึงจุดเด่นกับการมีหน้าจอขนาดใหญ่แต่ยังพกพาสะดวก ซึ่งหากบ้านไหนยังไม่มีดีไวซ์ประเภทนี้ และต้องการมีติดบ้านไว้สักเครื่องเพื่อตอบโจทย์ให้ครบทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ คุณลูก ซัมซุงขอแนะนำ Galaxy Tab A7 Lite ที่พร้อมให้ทุกคนในบ้านใช้งานได้ครบจบในแท็บเล็ตเครื่องเดียว ไม่ต้องแยกกันซื้อคนละเครื่องอีกต่อไป




เอาใจคุณแม่สายซีรีส์ ด้วยคุณภาพเสียงระดับโรงภาพยนตร์ พร้อมแบตเตอรีชาร์จไวดูต่อเนื่องแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวล

นอกจากพระเอกหล่อ นางเอกสวย การแสดงเป็นเลิศแล้ว การจะดูซีรีส์ให้เต็มตาเต็มอารมณ์ยังขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่รับชมด้วยเช่นกัน ถ้าต้องดูซีรีส์แบบภาพแตก ฟังเสียงไม่ชัด คงจะน่าหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อย แต่ Galaxy Tab A7 Lite จะทำให้ช่วงเวลาสำหรับการดูซีรีส์มีความสุขยิ่งขึ้น ด้วยลำโพงคู่ที่รองรับมาตรฐานเสียงคมชัดระดับโรงภาพยนตร์จาก Dolby Atmos และหน้าจอขนาด 8.7 นิ้ว พร้อมให้คุณแม่ได้สร้างอารมณ์ร่วมไปกับ
ตัวละครได้อย่างเต็มอิ่ม 




หรือหากไม่พร้อมรับชมแบบสตรีมมิ่ง ก็สามารถดาวน์โหลดซีรีส์เรื่องโปรดเก็บไว้ดูได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเมมจะเต็ม เพราะแท็บเล็ตรุ่นนี้มาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 32GB และช่องใส่ Micro SD เสริมที่รองรับสูงสุดถึง 1TB อีกด้วย และสำหรับคุณแม่ท่านไหนที่เป็นสายดูซีรีส์มาราธอนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรีหมดแล้วต้องรอชาร์จนานให้ขาดตอน เพราะ Galaxy Tab A7 Lite รองรับระบบชาร์จไว 15W และเชื่อมต่อสะดวกด้วย USB Type-C พร้อมดูซีรีส์ทุกตอนได้ทันใจไม่ต้องคอยหลบสปอยล์





ตอบโจทย์คุณพ่อสายเกมมิ่ง ด้วยชิปเซ็ตที่เร็วขึ้น เล่นเกมได้ลื่นไหล ดีไซน์จับถนัดมือ

ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ต้องการ work - life balance จึงเป็นธรรมดาที่นอกเหนือจากการทำงานแล้วต้องมีการหาเวลาพักผ่อนหย่อนใจกันบ้าง และสำหรับคุณพ่อสายเกมมิ่งที่ต้องการแท็บเล็ตที่ประมวลผลได้เร็ว เพื่อให้การเล่นเกมไหลลื่นไม่กระตุก ก็สามารถใช้ Galaxy Tab A7 Lite ได้อย่างไม่ติดขัด ด้วยชิปเซ็ต Mediatek MT8768T ที่ประมวลผลเร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 75%[1] พร้อมดีไซน์บาง กระทัดรัด จับถนัดมือ ถือแท็บเล็ตเล่นเกมนานๆ ก็ไม่เมื่อยเพราะมีน้ำหนักเพียง 371 กรัม (สำหรับรุ่น LTE) และยังมีฟังก์ชันการสั่งงานด้วยท่าทางกว่า 40 แบบ ช่วยให้ควบคุมแท็บเล็ตได้ด้วยมือข้างเดียว

 

นอกจากนี้ Galaxy Tab A7 Lite มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 11 และ One UI 3.1 ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อกับการใช้งานกับกาแลคซี่ดีไวซ์ต่างๆ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องตั้งค่า เช่น รับสายเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนซัมซุงกาแลคซี่ด้วย Galaxy Tab A7 Lite ได้ทันที หรือคัดลอกข้อความจากสมาร์ทโฟนแล้วมาวางลงในแท็บเล็ตก็ยังได้




เสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กๆ เรียนและเล่นอย่างแฮปปี้ด้วย Samsung Kids Mode

ในยุคที่เทคโนโลยีและการเรียนออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการศึกษามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้บทเรียนในห้องเรียนหรือเล่นเพื่อเสริมสร้างทักษะและประสบการณ์ให้เด็กๆ การมีแท็บเล็ตที่มีประสิทธิภาพก็จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กให้ดีมากยิ่งขึ้น โดย Galaxy Tab A7 Lite รองรับ Samsung Kids Mode ซึ่งเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นดิจิตอล มาพร้อมเนื้อหาและกิจกรรมต่างๆ ที่ออกแบบและคัดเลือกมาแล้วว่าสร้างสรรค์เหมาะสมตามวัยคุณหนู และยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเสริมผ่าน Galaxy Apps สำหรับเด็กกว่า 3,000 รายการได้อีกด้วย

 

Samsung Kids Mode ยังมาพร้อมการตั้งค่าและข้อกำหนดการควบคุมการใช้งานสำหรับผู้ปกครอง เช่น การตั้งรหัส PIN เพื่อป้องกันการออกจาก Kids Mode การกำหนดเวลาการใช้งานแท็บเล็ต ควบคุมการดูคอนเทนต์ต่างๆ เป็นต้น ช่วยให้พ่อแม่ยุคใหม่หมดกังวลว่าเด็กๆ จะดูคอนเทนต์อันตรายหรือใช้งานแท็บเล็ตไม่เหมาะสม






Galaxy Tab A7 Lite มีให้เลือกด้วยกัน สี ได้แก่ Dark Grey และ Silver วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 5,990 บาท สำหรับรุ่น LTE พร้อมสิทธิพิเศษ รับชม YouTube Premium ได้ฟรี 2 เดือนโดยไม่มีโฆษณาคั่น[2] ผ่านทาง Samsung Experience Store, samsung.comและร้านค้าที่ร่วมรายการ

 

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.samsung.com/th/tablets/galaxy-tab-a/galaxy-tab-a7-lite-lte-gray-32gb-sm-t225nzaathl/


[1] เมื่อเปรียบเทียบกับ Galaxy Tab A 8.0

[2] ลูกค้าต้องเปิดใช้งานเครื่องภายในวันที่ มีนาคม 2565 โดยลงทะเบียนรับสิทธิผ่าน youtute.com/premium/samsung หรือ แอปพลิเคชัน Youtube ลูกค้าที่จะได้รับสิทธิต้องไม่เป็นสมาชิกบริการ Youtube Premium, Youtube Music Premium และ Google Play Music มาก่อน หรือเคยผ่านช่วงทดลองใช้งานบริการดังกล่าวมาแล้ว

OPPO เปิดตัวห้องปฏิบัติการ OPPO Communication Lab ที่ได้รับการอัปเกรดร่วมกับ Ericsson

 


OPPO Communication Lab ห้องปฏิบัตการที่ถือเป็นเบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยี 5G มากมาย โดยได้รับการพัฒนาร่วมกันกับ Ericsson ผู้ให้บริการเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ชั้นนำของโลก


หุ่นยนต์ทดสอบอัตโนมัติที่ OPPO Communication Lab

ด้วย Communication Lab ที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ ทำให้ OPPO สามารถตระหนักถึงกระบวนการวิจัยและพัฒนา 5G ทั้งหมดได้ ตั้งแต่รากฐาน RF front-end ไปจนถึงการอัปเดตโปรโตคอลซอฟต์แวร์ รวมถึงการปรับแต่งและทดสอบที่ครอบคลุม โดย Communication lab อันล้ำสมัยนี้ จะทำให้สมาร์ทโฟน OPPO กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่มีการใช้เทคโนโลยี 5G ใหม่ล่าสุด ซึ่งทำให้ OPPO ถือเป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญของผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกในการขยายการบริการเครือข่าย 5G นอกจากนี้ ห้องปฏิบัติการนี้ยังช่วยให้ OPPO มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารระดับโลกอีกด้วย

 

พันธมิตรที่แข็งแกร่งสู่การอัปเกรดนวัตกรรม 5G ระดับโลก

OPPO Communication Lab ที่อัปเกรดใหม่ล่าสุด ประกอบด้วย ห้องปฏิบัตการที่สำคัญ ได้แก่ Radio Frequency Lab, Protocol Lab และ Network Simulation Lab

 

โดย Network Simulation Lab เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่าง OPPO และ Ericsson ส่วน Protocol Lab สร้างจากความร่วมมือกันของ OPPO และ Keysight ผู้ให้บริการชั้นนำด้านเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบ

 

Chris Shu, Vice President และ General Manager of Product Strategy Planning and Cooperation Center ของ OPPO กล่าวว่า "OPPO Communication Lab ที่ได้รับการอัปเกรดนี้ ถือเป็นก้าวครั้งใหม่ในด้าน 5G ของ OPPO และเป็นการแสดงถึงมาตรฐานใหม่ของความร่วมมือกันกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก โดยจากวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี 5G ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วทั่วโลก OPPO จึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ Ericsson และ Keysight ในการยกระดับประสบการณ์ทั้งด้านมาตรฐาน 5G, ผลิตภัณฑ์ และ แอปพลิเคชันเพื่อยกระดับ 5G ecosystem ทั่วโลก

 

Magnus Ewerbring, Vice President และ CTO Asia-Pacific Ericsson states กล่าวว่า การร่วมมือกันระหว่าง OPPO และ Ericsson จะช่วยนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์จำนวนที่มากขึ้น เพื่อผลักดันความต้องการและทิศทางของตลาด 5G พร้อมพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเครือข่าย 5G ให้แก่ผู้ใช้ โดยในฐานะผู้นำในตลาด 5G ทั่วโลก Ericsson มุ่งมั่นในการร่วมมือกันกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อสร้าง 5G ecosystem และขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อปลดปล่อยศักยภาพของเทคโนโลยี 5G อย่างเต็มที่

 

ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน 5G ชั้นนำของโลกอย่าง OPPO ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการทดสอบที่น่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการเปิดตัวและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาด” Cao Peng, vice president และ general manager for Keysight's wireless test group กล่าว ห้องปฏิบัติการ Protocol lab และ RF lab ถือเป็นก้าวสำคัญของ Keysight และ OPPO ในด้าน 5G โดย Keysight จะช่วยวิศวกรด้านเทคนิคของ OPPO ให้ดำเนินการทดสอบอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การทดสอบใช้พลังงาน การทดสอบการถดถอย และการทดสอบการทำงานร่วมกันของฟีเจอร์ใหม่ๆ และอื่นๆ อีกทั้งยังช่วยจำลองสถานการณ์การใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนที่มีผู้คนจำนวนมากและรถไฟความเร็วสูง เพื่อให้ OPPO สามารถพัฒนากลยุทธ์ด้าน 5G เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 5G ชั้นนำเข้าสู่ตลาดให้เร็วที่สุด”

 

ห้องปฏิบัติการ ครอบคลุมการวิจัย 5G แบบ end-to-end

OPPO Communication Lab ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Network Simulation Lab, Radio Frequency Lab และ Protocol Lab โดย Network Simulation Lab ช่วยทดสอบเครือข่ายด้านการสื่อสารในเมืองต่างๆ ซึ่งสามารถจำลองเครือข่าย 4G/5G ของผู้ให้บริการเครือข่ายและผู้ให้บริการด้านการสื่อสารที่แตกต่างกันในอุปกรณ์มากถึง 10,000 เครื่อง โดยที่ห้องปฏิบัติการสามารถทดสอบเครือข่าย 5G ที่จะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ล่วงหน้าในทุกพื้นที่ของโลกได้



การทดสอบสมาร์ทโฟนที่ OPPO Communication Lab

นอกจาก Network Simulation Lab แล้ว OPPO Communication Lab ยังประกอบด้วย Radio Frequency Lab และ Protocol Lab โดยในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนมีการใช้งานในสถานการณ์ที่หลากหลายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็น การประชุมผ่านวิดีโอบนรถไฟความเร็วสูง การดูไลฟ์สตรีมมิ่งในห้างสรรพสินค้าที่มีผู้คนจำนวนมาก หรือการถ่ายและอัปโหลดภาพบนโซเชียลมีเดียทุกที่บนโลก ซึ่งเบื้องหลังการใช้งานในแต่ละสถานการณ์เหล่านี้ มาจากการทดสอบอย่างละเอียดโดยนักวิจัยในห้องปฏิบัติการ เพื่อมอบการเชื่อมต่อที่เสถียรภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

 

สำหรับ Protocol Lab จะช่วยช่างเทคนิคในการกระบวนการการวิจัยในด้านการทดสอบใช้พลังงาน การทดสอบการถดถอย และการทดสอบการทำงานร่วมกันของฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน เช่น ห้องปฏิบัติการนี้กำลังวิจัยถึงวิวัฒนาการแรกในด้านมาตรฐาน 5G Release 16 ซึ่งมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างสมาร์ทโฟนและเครือข่าย พร้อมช่วยลดการใช้พลังงานของสมาร์ทโฟนและสถานีฐาน (Base stations) อีกด้วย

 

ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ยุค Internet of Experience

จากจุดแข็งในด้านการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์และการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโลกในอุตสาหกรรม ทำให้ OPPO ประสบความสำเร็จในด้าน 5G มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ในช่วงต้นปี 2561 ที่ OPPO ประสบความสำเร็จในการวิดีโอคอล 5G ครั้งแรกของโลกด้วยการใช้เทคโนโลยี 3D structured light จากนั้นในปี 2562 OPPO Reno 5G ก็ได้กลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่สามารถรองรับ 5G ได้ในยุโรป และในปี 2564 OPPO, Vodafone, Qualcomm และ Ericsson ประสบความสำเร็จในการเปิดให้บริการเครือข่าย 5G standalone (SA) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของยุโรป ที่มีส่วนช่วยเร่งการพัฒนาด้าน 5G ต่อไป

 

โดยในอนาคต OPPO จะยังคงเพิ่มการวิจัยและพัฒนาในด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และร่วมมือกับผู้นำในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น Ericsson รวมถึงสนับสนุนการพัฒนา 5G และมุ่งปลดล็อกความเป็นไปได้ในด้าน 5G อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสู่ยุค Internet of Experience

เปิดตัว เปิดราคา แบบครบเซ็ต Xiaomi 11T Pro, 11T, 11 Lite 5G NE พร้อมกองทัพผลิตภัณฑ์ AIoT นำโดย Xiaomi Pad 5, FlipBuds Pro, Outdoor Security Camera และ Mi Smart Standing Fan 2



Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T: สองคู่หูสมาร์ทโฟน เนรมิตคอนเทนต์วิดีโอระดับ “Cinemagic” ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว


สัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือกว่าในทุกมิติภายใต้คอนเซ็ปต์​“Cinemagic” กับสมาร์ทโฟนระดับแฟล็กชิปที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพอันเยี่ยมยอด Xiaomi 11T Pro  มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับแฟล็กชิป Qualcomm® Snapdragon™ 888 กล้องระดับเทพถึงสามตัวเทียบชั้นกล้องโปร ประกอบด้วย กล้องหลักเลนส์ไวด์ความละเอียด 108MP, เลนส์อัลตราไวด์ 120 องศาความละเอียด 8MP, เลนส์ Telemacro ความละเอียด 5MP โหมด One-Click AI Cinema บันทึกภาพเคลื่อนไหวความละเอียดสูงถึง 8K และ HDR10+ และ Audio Zoom Xiaomi 11T Pro มีหน้าจอ AMOLED ความละเอียดระดับ FHD+ ขนาด 6.67 นิ้ว พร้อมทั้งรีเฟรชเรท 120Hz และผสานเทคโนโลยี TrueColor อีกด้วย นอกจากนี้ หน้าจอยังได้รับการรับรองด้วยคะแนน  A+ จาก DisplayMate และเคลือบด้วย Corning® Gorilla® Glass Victus™ เพื่อเสริมความทนทานอีกขั้น Xiaomi 11T Pro รองรับการแสดงผลภาพแบบ Dolby Vision® เพลิดเพลินกับคอนเทนต์ที่สีสันสดคมชัด สว่างไหวและเก็บได้ครบทุกรายละเอียด Xiaomi 11T Pro ยังรองรับระบบเสียง Dolby Atmos® ด้วยลำโพงคู่ให้เสียงทุ่มนุ่มนวลระดับ SOUND BY Harman Kardon ให้เสียงกระหึ่มไม่ว่าจะเพลิดเพลินคอนเทนต์รูปแบบใด  Xiaomi 11T Pro มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5000mAh ที่รองรับเทคโนโลยีการชาร์จใหม่ล่าสุดอย่าง 120W Xiaomi HyperCharge ที่บรรจุในสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของโลก






Xiaomi 11T ให้ทุกคนเข้าถึงประสบการณ์แบบ Cinemagic ได้อย่างง่ายดาย ด้วยกล้องหลังสามตัว ประกอบด้วย กล้องหลักเลนส์ไวด์ความละเอียด 108MP, เลนส์อัลตราไวด์ 120 องศาความละเอียด 8MP, เลนส์ Telemacro ความละเอียด 5MP และยังมีโหมด One-Click AI Cinema และ Audio Zoom ใช้ AMOLED ความละเอียดระดับ HDR10+ ขนาด 6.67 นิ้ว รีเฟรชเรท 120Hz เพลิดเพลินกับการใช้งานได้ตลอดวัน ด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1200 และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5000mAh ที่มาพร้อมกับเทอร์โบชาร์จ 67W 

Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T มีให้เลือก สี ได้แก่ สีเทา Meteorite Gray, สีขาว Moonlight White และสีน้ำเงิน Celestial Blue วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ตุลาคมเป็นต้นไป 


Xiaomi 11T Pro มีให้เลือก ขนาด

· รุ่นความจุ 12GB+256GB: ราคา 20,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน Lazada, JD Central และ Shopee เท่านั้น

· รุ่นความจุ 8GB+256GB: ราคา 18,990 บาท วางจำหน่ายที่ Xiaomi Store ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์

· รุ่นความจุ 8GB+128GB: ราคา 16,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน Lazada, JD Central และ Shopee เท่านั้น

Lazada: https://bit.ly/3nZbcQf
JD Central: https://bit.ly/3zzSLUr

Shopee: https://bit.ly/3kxNDvC


Xiaomi 11T 
มีให้เลือก ขนาด

· รุ่นความจุ 8GB+256GB: ราคา 14,990 บาท วางจำหน่ายที่ Xiaomi Store ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์

· รุ่นความจุ 8GB+128GB: ราคา 13,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน Lazada, JD Central และ Shopee เท่านั้น

Lazada: https://bit.ly/39uRbIL 
JD Central: https://bit.ly/3lJLQCU 

Shopee: https://bit.ly/3EIUwST


พิเศษ! เมื่อ 
Pre-Order Xiaomi 11T Pro และ Xiaomi 11T ทุกรุ่น ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน - ตุลาคม 2564รับฟรี Mi Watch มูลค่า 3,490 บาท

นอกจากนี้! เสียวหมี่ยังมอบ Mi TV P1 รุ่นหน้าจอ 55” มูลค่า 15,990 บาท จำนวน 460 สิทธิ์ เป็นเซอร์ไพรส์พิเศษให้แก่ลูกค้าที่สั่งจอง Xiaomi 11T Series ตั้งแต่เวลา 00.00 ของวันที่ 24 กันยายน 2564 ผ่านระบบออนไลน์ของร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการอีกด้วย



Xiaomi 11 Lite 5G NE: สมาร์ทโฟนประสิทธิภาพระดับแฟล็กชิปในดีไซน์บางเฉียบและน้ำหนักเบา ดูรีวิว

มอบสัมผัสอันบางเบาไปกับสมาร์ทโฟน 5G ที่บางและเบาที่สุดจากเสียวหมี่3 ในดีไซน์สวยงามอย่าง Xiaomi 11 Lite 5G NE ขับเคลื่อนบนหน้าจอ AMOLED DotDisplay 6.55” อัตรารีเฟรชเรท 90Hz และอัตรา Touch Sampling Rate 240Hz รองรับ Dolby Vision® พร้อมยังรองรับ DCI-P3 และ 10-bit TrueColor ที่มอบประสบการณ์การรับชมความบันเทิงได้อย่างเสมือนจริงที่สุด มาพร้อมกล้องหลัก ตัว ประกอบด้วยกล้องหลัก 64MP เลนส์อัลตราไวด์ 8MP และเลนส์เทเลมาโคร 5MP นอกจากนี้ Xiaomi 11 Lite 5G NE ยังมาพร้อมชิปเซ็ตตัวแรงอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 778G รองรับ 5G Dual Sim พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 4250mAh และรองรับระบบชาร์จไว 33W




Xiaomi 11 Lite 5G NE วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ตุลาคม 2564 โดยมีให้เลือกทั้งหมด สี ได้แก่ สีดำ White Truffle Black, สีฟ้า Bubblegum Blue และสีชมพู Peach Pink และสีใหม่ล่าสุด สีขาว Snowflake White

·         รุ่นความจุ 8GB+256GB: ราคา 13,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน Lazada, JD Central และ Shopee เท่านั้น

·         รุ่นความจุ 8GB+128GB: ราคา 11,990 บาท วางจำหน่ายที่ Xiaomi Store ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์

·         รุ่นความจุ 6GB+128GB: ราคา 10,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน Lazada, JD Central และ Shopee เท่านั้น

Lazada: https://bit.ly/3hZcOpn 

JD Central: https://bit.ly/3u6umV3 

Shopee: https://bit.ly/3hYUcWg


    พิเศษ! เมื่อ 
Pre-Order Xiaomi 11 Lite 5G NE ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน – ตุลาคม 2564 รับฟรี Special Designer Boxset โดย Yoon Phannapast หรือยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล มูลค่า 2,990 บาท ประกอบไปด้วยเคสสมาร์ทโฟน Xiaomi 11 Lite 5G NE, หูฟัง Mi True Wireless Earphone Basic 2 และเคสหูฟัง  




Xiaomi Pad 5: สนุกให้สุดและทำงานอย่างชาญฉลาด

Xiaomi Pad 5 ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะ Work from home หรือเรียนออนไลน์ และยังสามารถเป็นอุปกรณ์สร้างความบันเทิงขนาดพกพาระดับพรีเมียมได้อีกด้วย Xiaomi Pad 5 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon™ 860 พร้อม Octa-core CPU 2.96GHz มอบสีสันคมชัดด้วยหน้าจอขนาด 11 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ พร้อมด้วยรีเฟรชเรท 120Hz รองรับ Dolby Vision® และ TrueDisplay และโหมด Built-in Low Blue Light ที่ไม่ทำให้เกิดอาการสายตาล้าเมื่อใช้เป็นเวลานาน Xiaomi Pad 5 มาพร้อมกับลำโพงกระหึ่มระดับสเตอริโอ 4 ตัวและรองรับระบบเสียงDolby Atmos® อีกทั้งยังมาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 8MP และกล้องหลังความละเอียด 13 MP แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงขนาด 8720mAh รองรับระบบชาร์จไว 22.5W นอกจากนี้ Xiaomi Pad5 ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ​ MIUI สำหรับ Xiaomi Pad โดยเฉพาะ เพลิดเพลินไปกับการเขียนอย่างเป็นธรรมชาติด้วย Xiaomi Smart Pen ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้มากขึ้นอีกด้วย



Xiaomi Pad 5 วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ ตุลาคม 2564 มีให้เลือก สี ได้แก่ สีเทา Cosmic Gray และสีขาว White Pearl

· รุ่นความจุ 6GB+256GB: ราคา 12,990 บาท วางจำหน่ายที่ Xiaomi Store ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์

· รุ่นความจุ 6GB+128GB: ราคา 10,990 บาท วางจำหน่ายผ่าน JD Central เท่านั้น

JD Central: https://bit.ly/3o77Ev0

Xiaomi Smart Pen ราคา 2,499 บาท พิเศษ ราคาเพียง 1,499 บาท เมื่อซื้อพร้อม Xiaomi Pad 5 รุ่นใดก็ได้ 

พิเศษ! เมื่อ Pre-Order Xiaomi Pad 5 ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน - ตุลาคม 2564 รับฟรี เคสและฟิล์มกันรอยมูลค่า 1,880 บาท  นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่สั่งจอง Xiaomi Pad 5 รุ่นความจุ 6GB + 128GB รับราคาพิเศษเหลือเพียง 9,990 บาทอีกด้วย 




สุดยอดผลิตภัณฑ์ AIoT โฉมใหม่จากเสียวหมี่

นำทัพด้วย Xiaomi FlipBuds Pro หูฟังไร้สายระดับพรีเมียมจากเสียวหมี่ ยกระดับทุกการฟังให้กระหึ่มและลื่นไหลกว่าเดิม ขับเคลื่อนด้วยชิปเช็ตระดับแฟล็กชิป Qualcomm QCC5151 พร้อมเทคโนโลยี Qualcomm aptX™ Adaptive และ    ใช้นวัตกรรมการประมวลผล 11mm Dynamic Driver ที่ปรับแต่งโดย Xiaomi Sound Lap ให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์เสียงที่สมจริง Xiaomi FlipBuds Pro มาพร้อมกับเทคโนโลยี Hybrid ANC 3 โหมด ได้แก่ Office Mode, Daily Mode และ Airplane Mode สามารถตัดเสียงรบกวนทั้งภายในและภายนอกที่ระดับ 40 เดซิเบล ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานได้อย่างราบรื่น ไม่ถูกรบกวน นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต พีซี และอุปกรณ์อื่นๆ รองรับการชาร์จแบบไร้สายกับอุปกรณ์ที่ผ่านการรับรอง Qi-certified และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็ว โดยชาร์จเพียง 5 นาที   จะสามารถใช้งานหูฟังได้มากถึง 2 ชั่วโมง ไม่ต้องกลัวแบตเตอรี่จะหมดอีกต่อไป Xiaomi FlipBuds Pro  

            วางจำหน่าย วันที่
23 กันยายน 2564 เป็นต้นไป ราคา 5,699 บาท แต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในระหว่าง วันที่ 23 – 26 กันยายน 2564 สามารถซื้อได้ในราคาพิเศษเพียง 5,199 บาท

Mi Smart Standing Fan 2 พัดลมอัจฉริยะ ด้วยการทำงานที่แรงกว่า น้ำหนักที่เบากว่า และประหยัดพลังงานมากกว่า มาพร้อมกับใบพัดสองชั้น และเครื่องยนต์ BLDC ที่ใช้กำลังไฟเพียง 15W สามารถปรับระดับความสูงได้ตั้งแต่ 62.5 เซนติเมตร – 1 เมตร หมุนด้านข้างได้ 140 องศา และแหงนเอียงได้ถึง 39 องศาเพื่อกระจายลมได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังทำงานด้วยเสียงที่เบาเพียง 58 เดซิเบล และสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายผ่าน Mi Home app, Google Assistant และ Amazon Alexa  

Mi Smart Standing Fan
ราคา 2,199 บาท แต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในระหว่างวันที่ 23 - 26 กันยายน 2564 สามารถซื้อได้ในราคาพิเศษเพียง 2,099 บาท

Mi Wireless Outdoor Security Camera 1080p กล้องวงจรปิดนอกอาคารแบบไร้สายที่จะมาเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับพื้นที่ของคุณ ความละเอียดสูงถึง 1080p ให้รายละเอียดคมชัดแม้ในสภาพแสงน้อย บันทึกครอบคลุมด้วยมุมกว้างถึง 130 องศา ติดตั้งง่ายด้วยระบบไร้สาย ป้องกันสภาวะอากาศระดับ IP65 ทั้งในอากาศร้อนและหนาว และยังมีระบบ Human Detection เมื่อกล้องถูกนำออกจากฐานอีกด้วย มีแบตเตอรี่ขนาด 5700mAh ชาร์จ 1 ครั้งสามารถทำงานได้นานถึง    90 วัน Mi Wireless Outdoor Security Camera 1080p พร้อมอุปกรณ์กระจายสัญญาณ ราคา 2,999 บาท และ      Mi Wireless Outdoor Security Camera 1080p ราคา 2,199 บาท   แต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าในระหว่าง   วันที่ 23 – 26 กันยายน 2564 สามารถซื้อได้ในราคาเพียง 2,699 บาทและ 1,999 บาทตามลำดับ

นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมายมากที่จะทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย Mi Desktop Monitor 27” จอเดสก์ท็อป ราคา 5,990 บาท และ Mi  WiFi Range Extender AC1200 อุปกรณ์กระจายสัญญาณ WiFi ราคา 599 บาท พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2564 เป็นต้นไป และสำหรับ Mi Door and Window Sensor 2 เซ็นเซอร์นิรภัยบริเวณประตูและหน้าต่าง ราคา 390 บาท, Mi Smart Projector 2 จอโปรเจ็กเตอร์อัจฉริยะ ราคา 16,990 บาท, Redmi Buds 3 Pro หูฟังไร้สาย ราคา 1,799 บาท และ Redmi Buds 3 หูฟังไร้สาย ราคา 999 บาท พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป